โดย สุวัฒน์ คงแป้น : ผู้ชำนาญการประจำ พอช.ภาคใต้
31 มกราคม 2551 พรบ.สภาพัฒนาการเมือง มีผลบังคับใช้ และ 9 กุมภาพันธ์ 2551 พรบ. สภาองค์กรชุมชนมีผลบังคับใช้ ซึ่งคนในวงการเรียกพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับว่าเป็น “กฎหมายคู่แฝด” หรือ “กฎหมายพี่กฎหมายน้อง” ทั้งนี้เพราะต่างให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งการเมืองภาคพลเมืองด้วยกันทั้งสองฉบับ
กล่าวคืออำนาจและหน้าที่ของ พรบ. สภาพัฒนาการเมือง หนึ่งใน 3 ข้อ ก็คือการส่งเสริมให้การเมืองภาคพลเมืองเข้มแข้ง (มาตรา 5 และ6 ) ส่วน พรบ. สภาองค์กรชุมชน มาตรา 21 ซึ่งเป็นภารกิจของสภาองค์กรชุมชนตำบลมีเป้าหมายชัดเจนคือ ให้ภาคประชาชนสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ด้วยการร่วมกันวางแผนในการแก้ปัญหาของตนเอง โดยการประสานร่วมมือกับภาคีการพัฒนาทั้งหลายในท้องถิ่น (ตำบล) แล้วนำปัญหาที่กินอาณาเขตกว้างกว่าตำบลไปสู่การแก้ปัญหาระดับจังหวัด (มาตรา 27 ) และจากระดับจังหวัดก็นำไปสู่การแก้ปัญหาของคนทั้งประเทศ (มาตรา 32 )
นั่นแสดงว่า ตาม พรบ. สภาองค์กรชุมชน ภาคประชาชนสามารถร่วมกันกำหนดนโยบายงานพัฒนาได้ในทุกระดับ ซึ่งก็คือทิศทางในการสร้างความเข้มแข็งของการเมืองภาคพลเมืองนั่นเอง
กุมภาพันธ์ 2553 พรบ. ทั้ง 2 ฉบับ มีอายุครบ 2 ปี ซึ่งเวลาที่ผ่านมา สำหรับคนวงในแล้ว ต่างก็จับตาความเคลื่อนไหว และทิศทางการเติบโตของภาคประชาชนอย่างสนใจยิ่ง ว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับได้หนุนเสริมให้ประชาชนกำหนดอนาคตของตนเองได้มากน้อยเพียงไร ซึ่งนั่นก็หมายความว่าการเมืองภาคพลเมืองมีความเข็มแข็งขึ้นหรือไม่เพียงไร อ่านต่อ คลิ้กที่นี่
31 มกราคม 2551 พรบ.สภาพัฒนาการเมือง มีผลบังคับใช้ และ 9 กุมภาพันธ์ 2551 พรบ. สภาองค์กรชุมชนมีผลบังคับใช้ ซึ่งคนในวงการเรียกพระราชบัญญัติทั้ง 2 ฉบับว่าเป็น “กฎหมายคู่แฝด” หรือ “กฎหมายพี่กฎหมายน้อง” ทั้งนี้เพราะต่างให้ความสำคัญกับการสร้างความเข้มแข็งการเมืองภาคพลเมืองด้วยกันทั้งสองฉบับ
กล่าวคืออำนาจและหน้าที่ของ พรบ. สภาพัฒนาการเมือง หนึ่งใน 3 ข้อ ก็คือการส่งเสริมให้การเมืองภาคพลเมืองเข้มแข้ง (มาตรา 5 และ6 ) ส่วน พรบ. สภาองค์กรชุมชน มาตรา 21 ซึ่งเป็นภารกิจของสภาองค์กรชุมชนตำบลมีเป้าหมายชัดเจนคือ ให้ภาคประชาชนสามารถกำหนดอนาคตของตนเองได้ด้วยการร่วมกันวางแผนในการแก้ปัญหาของตนเอง โดยการประสานร่วมมือกับภาคีการพัฒนาทั้งหลายในท้องถิ่น (ตำบล) แล้วนำปัญหาที่กินอาณาเขตกว้างกว่าตำบลไปสู่การแก้ปัญหาระดับจังหวัด (มาตรา 27 ) และจากระดับจังหวัดก็นำไปสู่การแก้ปัญหาของคนทั้งประเทศ (มาตรา 32 )
นั่นแสดงว่า ตาม พรบ. สภาองค์กรชุมชน ภาคประชาชนสามารถร่วมกันกำหนดนโยบายงานพัฒนาได้ในทุกระดับ ซึ่งก็คือทิศทางในการสร้างความเข้มแข็งของการเมืองภาคพลเมืองนั่นเอง
กุมภาพันธ์ 2553 พรบ. ทั้ง 2 ฉบับ มีอายุครบ 2 ปี ซึ่งเวลาที่ผ่านมา สำหรับคนวงในแล้ว ต่างก็จับตาความเคลื่อนไหว และทิศทางการเติบโตของภาคประชาชนอย่างสนใจยิ่ง ว่ากฎหมายทั้ง 2 ฉบับได้หนุนเสริมให้ประชาชนกำหนดอนาคตของตนเองได้มากน้อยเพียงไร ซึ่งนั่นก็หมายความว่าการเมืองภาคพลเมืองมีความเข็มแข็งขึ้นหรือไม่เพียงไร อ่านต่อ คลิ้กที่นี่