จดหมายข่าวขบวนชุมชนสงขลา ฉบับสิงหาคม 2554 Download คลิ้กที่นี่ และติดตามฟังรายการปักษ์ใต้บ้านเรา ทางวิทยุ สวท.สงขลา 90.5 เมกกะเฮิร์ต เวลา 18.00-19.00 น. ทุกวันอังคาร -สวัสดิการชุมชน /ทุกวันพุธ-สภาองค์กรชุมชน


วันศุกร์ที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2552

ถอดเทป นายกฯ อภิสิทธิ์ประกาศสวัสดิการชุมชนเป็นวาระแห่งชาติ

ถอดเทป นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี
ในการมอบนโยบายของรัฐบาลในการสนับสนุนสวัสดิการชุมชน
งานสมัชชาสวัสดิการชุมชนแห่งชาติ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๒
ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์

พี่น้องที่เคารพรักทุกท่านครับ
ก่อนอื่นก็ต้องขอขอบคุณ พี่น้องที่ได้มาร่วมงานในวันนี้ ท่านที่ปรึกษาผมคือคุณหญิงสุพัตรา เดินทางมาเมื่อค่ำวานนี้ ก็ได้รายงานให้ทราบว่า พี่น้องมีความตั้งใจที่จะมาร่วมงานกันอย่างมาก แล้วก็เตือนผมว่าต้องใส่เสื้อสีส้ม เพื่อที่จะได้มาเป็นหนึ่งเดียวกับพี่น้อง ผมต้องบอกนะครับว่า ก่อนที่ผมจะได้พูดถึงเรื่องของนโยบาย มีบุคคลและหน่วยงานสำคัญๆ ที่ได้มาร่วมงานในวันนี้ ซึ่งผมถือว่าเป็นการยืนยันเป็นอย่างดีว่ารัฐบาลให้ความสำคัญกับงานนี้อย่างเต็มที่ มีท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์และรมช.กระทรวงมหาดไทย ส่วนของการเมืองมีทั้งคณะทำงานของผมที่เดินทางมาจากกรุงเทพ แล้วก็มีท่าน ส.ส. ทั้งจากจังหวัดสงขลาและจังหวัดใกล้เคียง มากันเยอะมาก และก็แน่นอนที่สุดนะครับ ผู้แทนของส่วนราชการต่างๆ ทั้งจากส่วนกลาง เช่นท่านปลัดกระทรวง ท่านผู้ว่าราชการจังหวัด รวมไปถึงบรรดานักวิชาการ คณาจารย์ และผู้แทนเครือข่ายของสวัสดิการชุมชน และผู้แทนของชุมชนและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ผมอยากจะเรียนว่า เรื่องของงานที่เกี่ยวข้องกับสวัสดิการนั้น ใครที่ติดตามการทำงานของผมในฐานะนักการเมือง จะทราบว่าเป็นเป้าหมายหนึ่งที่ผมต้องการที่จะให้เกิดขึ้นอย่างชัดเจนในประเทศของเรา ความใฝ่ฝันของผมก็คืออยากจะเห็นพี่น้องประชาชนคนไทยทุกคน มีคุณภาพชีวิตที่ดี และที่สำคัญก็คือมีหลักประกัน ในอดีตเราได้มีการสร้างหลักประกันในเรื่องต่างๆ มาโดยลำดับ เริ่มตั้งแต่ในเรื่องการรักษาพยาบาล ซึ่งเราเริ่มตั้งแต่การให้การรักษาฟรี สำหรับเด็ก ผู้สูงอายุ ต่อมาก็มีการขายบัตรประกันสุขภาพ ต่อมาก็ทำมาเป็นหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า เริ่มต้นก็เก็บ ๓๐ บาท ต่อมาก็ไม่เก็บ ๓๐ บาท ซึ่งในตอนนี้ก็ถือว่าเรื่องของการรักษาพยาบาลนั้นก็ครอบคลุมพี่น้องประชาชนทั้งประเทศ เพียงแต่ว่าเราก็จะต้องทำงานหนักต่อไปในการปรับปรุงในเรื่องของคุณภาพ ในเรื่องของบริการ

ในส่วนของการศึกษาเช่นเดียวกันครับ เราก็พยายามผลักดันเรื่องของการศึกษาฟรี เริ่มต้นก็มีการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดให้ฟรี ๖ ปี ต่อมาก็มาขยายโอกาสเป็น ๙ ปี ต่อมาก็มาทำการศึกษาฟรี ๑๒ ปี แล้วก็ในปัจจุบันรัฐบาลก็ได้ผลักดันนโยบายการเรียนฟรี ๑๕ ปี เป็นที่เรียบร้อยแล้ว อาจจะยังมีปัญหาอยู่บ้างในบางสถานศึกษา และก็ในเรื่องของคุณภาพการศึกษาก็จะต้องมีการดำเนินการต่อไป

แต่ว่าสิ่งที่พี่น้องประชาชนทั้งประเทศหรืออย่างน้อยที่สุดก็คือพี่น้องประชาชนส่วนใหญ่มีความต้องการมากไปกว่าการศึกษาและการรักษาพยาบาล ก็คือในเรื่องของสวัสดิการ เมื่อมีความจำเป็นในโอกาสต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของชีวิตของคนเราทุกคนที่มีเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถ้ามองไปแล้วกลุ่มคนในสังคมซึ่งมีระบบที่รองรับดีที่สุดก็หนีไม่พ้นในส่วนของข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ แล้วก็ต่อมาเมื่อเรามีระบบประกันสังคมก็คือพี่น้องประชาชนที่เข้าสู่ระบบประกันสังคมซึ่งก็คือพี่น้องผู้ใช้แรงงาน แต่ถ้านับรวมพี่น้องประชาชนในกลุ่มต่างๆ เหล่านี้แล้ว ก็เป็นเพียงประมาณ อาจจะซักประมาณ ๑๒ –๑๓ ล้านคน เท่านั้นเอง ในขณะที่พี่น้องประชาชนอีก ๔๐ กว่าล้านคนยังไม่มีระบบสวัสดิการหรือหลักประกันที่ชัดเจน นี่คือจุดที่ผมคิดว่ารัฐบาลชุดนี้มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่ว่าระบบสวัสดิการสำหรับพี่น้องประชาชนทุกคนนั้นจะต้องเกิดขึ้น แต่ว่าสิ่งที่เป็นปัญหาเป็นอุปสรรค สำหรับการผลักดันเรื่องของสวัสดิการมาโดยตลอดก็คือว่า ถ้าหากว่าเราหวังที่จะให้ระบบสวัสดิการเกิดขึ้นจากการที่รัฐบาลจัดเงินงบประมาณมาทั้งหมด เราจะพบความเป็นจริงว่า ประเทศของเราคงไม่อยู่ในฐานะที่จะทำอย่างนั้นได้ เพราะเข้ามาได้อย่างแน่นอนเป็นระบบเป็นลักษณะประจำก็ทำได้ยากก็เป็นข้อจำกัดในการขยายระบบสวัสดิการมาโดยตลอด แต่ว่าด้วยความเข้มแข็งของพี่น้องประชาชนเอง ด้วยภูมิปัญญาของไทย ด้วยผู้นำชุมชนที่มีวิสัยทัศน์สิ่งที่ได้เกิดขึ้นก็คือว่าพี่น้องประชาชนในหลายชุมชนในหลายตำบลทั่วประเทศได้เป็นผู้ริเริ่มในการจัดทำระบบสวัสดิการชุมชนขึ้นมา ซึ่งอย่างที่พวกเราได้รับทราบตลอดทั้งวันในวันนี้ก็คือ ขณะนี้ก็มีมากกว่า ๓,๑๐๐ ตำบลแล้วที่มีระบบเช่นนี้ แล้วก็เริ่มมีการขยายไปให้คลอบคลุมในทุกจังหวัด และเราก็คาดหวังว่าจะมีการคลอบคลุมไปทุกตำบลต่อไป อย่างที่จังหวัดสงขลาก็ทราบว่าขณะนี้ขาดอยู่เพียง ๘ ตำบลเท่านั้นเอง ซึ่งผมก็หวังว่าหลังจากการแสดงท่าที และการประกาศนโยบายของรัฐบาลในวันนี้ก็จะเป็นอีกแรงกระตุ้นหนึ่งให้เกิดระบบสวัสดิการที่ครอบคลุมไปทุกตำบลเต็มพื้นที่ได้อย่างน้อยๆที่สุดก็คือในระยะเวลา ๒-๓ ปีข้างหน้า

ผมให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ เพราะว่าผมมองเห็นประโยชน์ที่สำคัญที่เกิดขึ้น ๓ ข้อ
ข้อแรกก็คือเรื่องที่ผมได้กล่าวไปแล้วนั้นก็หมายความว่าเป็นเรื่องของการที่จะทำให้พี่น้องประชาชนคนไทยทุกคนสามารถที่จะมีหลักประกันมีความมั่นใจในชีวิตของตัวเองมากยิ่งขึ้น ก็คือประโยชน์ในทางสวัสดิการ
ประโยชน์ข้อที่ ๒ ก็คือว่า ระบบของสวัสดิการชุมชนนั้นเป็นระบบที่ส่งเสริมในเรื่องของการออมซึ่งเป็นประโยชน์ทั้งในแง่ของการฝึกฝนนิสัยของพี่น้องประชาชนทุกคนให้รู้จักประหยัด อดออม รู้จักคิดถึงการวางแผนในเรื่องของการใช้จ่ายเงินในวันข้างหน้า และสำหรับระบบเศรษฐกิจโดยรวมก็เป็นผลดี เพราะว่าเป็นการส่งเสริมรูปแบบของการออมในระยะยาวไปในตัวด้วย
และประโยชน์ข้อที่สาม ซึ่งมองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือว่าการที่มีระบบสวัสดิการชุมชนเกิดขึ้นได้จะต้องเกิดขึ้นจากที่คนในชุมชนเองนั้นมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีความไว้ใจซึ่งกันและกัน มีการให้เกียรติซึ่งกันและกัน อย่างที่มีการพูดในคำขวัญว่า ให้ ก็เป็นการให้อย่างมีคุณค่า รับ ก็เป็นการรับอย่างมีศักดิ์ศรี ตรงนี้คือการสร้างสิ่งที่เราเรียกกันว่า “ทุนทางสังคม” ซึ่งจะมีส่วนช่วยในการที่จะให้บ้านเมืองของเรา ไม่เป็นเพียงแต่บ้านเมืองที่มีแต่หลักประกันที่ดี แต่เป็นบ้านเมืองที่มีความสงบสุขอีกด้วย
ด้วยเหตุผลนี้ ผมได้มีโอกาสพบกับครูชบ ได้มีโอกาสพบกับเครือข่ายที่ทำงานใน ภาคประชาชน สวัสดิการชุมชนมา ตั้งแต่ช่วงแรกที่เข้ามารับตำแหน่ง แล้วก็ได้ยืนยันว่า รัฐบาลตั้งใจที่จะผลักดันนโยบายนี้อย่างเต็มที่ ด้วยหลักคิดว่า ถ้าพี่น้องประชาชนสามารถสมทบเงินได้ ๑ บาท รัฐบาลก็จะสมทบให้อีกหนึ่งส่วน คือ ๑ บาท แล้วก็จะโน้มน้าวชักชวนให้องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีความเป็นอิสระในการตัดสินในให้เข้ามาร่วมสมทบด้วยอีก ๑ บาท ก็จะเป็นสิ่งที่ดีมาก แน่นอนที่สุด การจะทำเช่นนี้ก็ต้องมีการเตรียมการในเรื่องของงบประมาณ

วันที่ผมเข้ามารับตำแหน่ง ขณะนั้นปีงบประมาณ ๒๕๕๒ ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว และเราก็ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะจัดงบประมาณเพิ่มได้มากนัก เพราะว่ามีปัญหาในเรื่องของการจัดเก็บรายได้ แล้วก็มีเรื่องด่วนในเรื่องของการกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ว่าผมก็ได้บอกในวันนั้นครับว่าจะพยายามดำเนินการให้ทันในปีงบประมาณ ๒๕๕๓ ซึ่งในขณะนี้ก็ได้มีการปรึกษาหารือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ก็คือกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ ก็ได้มาประเมินดูตัวเลขที่รัฐบาลจะต้องสมทบในปีงบประมาณ ๒๕๕๓ คำนวณออกมาก็จะเป็นเงินประมาณ ๗๒๗ ล้านบาท ขณะนี้ทางกระทรวงก็ได้ทำเรื่องที่จะแปรญัตติเพื่อให้บรรจุอยู่ในพระราชบัญญัติงบประมาณ ปีงบประมาณ ๒๕๕๓ สอบถามล่าสุดจากท่านรัฐมนตรี ท่านก็บอกว่าได้มีการประสานงานกับทางคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจาณางบประมาณอยู่ในขณะนี้ มั่นใจว่าจะสามารถผลักดันได้ และถ้าหากมีปัญหา ผมก็จะคุยกับทางกระทรวงการคลัง ในการดูในเรื่องเงินในส่วนของไทยเข้มแข็ง ว่าจะสามารถที่จะมาช่วยอุดช่องว่างตรงนี้ได้หรือไม่ เป้าหมายก็คือว่าเราจะให้การสนับสนุนและให้การสมทบกับกองทุนสวัสดิการที่มีอยู่แล้ว พิสูจน์แล้วว่าสามารถดำเนินงานได้อย่างมั่นคงระดับหนึ่ง แล้วก็จะใช้เงินก้อนนี้ เจ็ดร้อยกว่าล้านบาทนี้ เข้าสมทบ ส่วนอีก ๒ ปีข้างหน้า เราก็จะสนับสนุนให้มีการจัดตั้งกองทุน ในลักษณะนี้ เพิ่มขึ้นๆ จนกระทั่งครอบคลุมทุกตำบลแล้วก็จะจัดให้มีงบประมาณสนับสนุน บนเงื่อนไขเช่นเดียวกันว่า จะต้องเป็นกองทุนซึ่ง ได้พิสูจน์การทำงานมาระยะเวลาหนึ่งให้เห็นถึงความมั่นคงในสถานะของกองทุนและความเข้มแข็งของคนและชุมชนนั้นๆ ว่าจะสามารถทำเรื่องนี้ได้อย่างมั่นคง ได้อย่างต่อเนื่องและได้อย่างยั่งยืน

ผมเรียนว่า อย่างไรก็ตามการทำงานในเรื่องนี้ก็จะต้องมีความระมัดระวัง ประการแรก ผมไม่ต้องการให้โครงการนี้ไปเร่งรัดแล้วในที่สุดทำให้สิ่งที่เริ่มต้นมาได้ดีมีความมั่นคงนั้นต้องไขว้เขว หรือมีปัญหา ถ้าเราเร่งรัดเกินไปพี่น้องที่อยู่ที่นี่จะทราบครับว่ากว่าท่านทั้งหลายจะนำสวัสดิการชุมชนของท่านมาถึงวันนี้ได้ ต้องใช้เวลา ต้องใช้กระบวนการ ต้องทำความเข้าใจและต้องมีระบบการบริหารจัดการที่ดีมีความไว้เนื้อเชื่อใจกัน แต่ถ้าเราเร่งโดยหวังปริมาณมากจนเกินไป แล้วเกิดปัญหาขึ้น ตรงนี้จะเป็นตัวที่ทำลายสิ่งที่เราได้สั่งสมมา แล้วก็ทำให้โครงการนี้ไม่ประสบความสำเร็จ เพราะฉะนั้นผมต้องย้ำว่า การสนับสนุนนั้นรัฐบาลทำแน่ เป้าหมายเราตั้งไว้ แต่ขณะเดียวกันเราต้องมีการประเมินความพร้อมของแต่ละกองทุนของแต่ละชุมชนอยู่ตลอดเวลา ไม่ให้เกิดปัญหาที่ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ประการที่สองก็คือว่าในเรื่องของการให้สวัสดิการนั้น ตัวที่จะเป็นปัญหามาที่สุดในงาของการยั่งยืนของโครงการหรือของสวัสดิการชุมชน ก็คือเรื่องของ บำนาญ ถ้าเราคำนวณตรงนี้ไม่ดี แล้วเราเริ่มให้บำนาญหรือให้สวัสดิการด้านนี้สูงเกินไป เราจะพบว่าไม่ช้าไม่นาน เงินที่ไหลออก จะมากกว่าเงินที่สมทบเข้าไปจากทุกฝ่าย สุดท้ายกองทุนจะยืนอยู่ไม่ได้ เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเป็นจุดหนึ่งซึ่งรัฐบาลต้องเข้าไปดูแล้วก็ให้การช่วยเหลือในการศึกษาอย่างเต็มที่ว่าระดับความช่วยเหลือหรือระดับของสวัสดิการที่จะให้ในลักษณะของบำนาญนั้นจะทำได้มากน้อยแค่ไหน อย่างไร ซึ่งแน่นอนที่สุดก็จะขึ้นอยู่กับการสมทบเงินและก็การบริหารจัดการกองทุนและก็รวมถึงเรื่องเวลาต่างๆ ด้วย ประการที่สามซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกันก็คือว่า แม้ว่ากองทุนสวัสดิการชุมชนทั้งหลาย จะครอบคลุมไปทุกพื้นที่ แต่ตัวเลขประชาการที่ครอบคลุมจริงๆนั้น ก็ยังเป็นจำนวนน้อย ผมและรัฐบาลต้องการให้ระบบสวัสดิการนั้นครอบคลุมประชาชนทุกคนจริงๆ
ขณะนี้กระทรวงการคลัง ก็จึงกำลังมีแนวคิดที่จะเสนอกฎหมาย ในลักษณะที่เปิดโอกาสให้ประชาชนแต่ละคนสามารถออมในบัญชีของตัวเองแล้วรัฐบาลจ่ายเงินสมทบเข้าเป็นกองทุนการออมแล้วเอาเงินมารวมกันเพื่อบริหารจัดการแล้วก็มีระบบของสวัสดิการตอบแทนในยามชราภาพ ผมคิดว่างานของกระทรวงการคลัง นี้ก็จะสนับสนุนแต่สิ่งที่ได้ปรารภกับกระทรวงการคลังไปแล้วก็คือว่าพี่น้องประชาชนจำนวนมาก อาจจะยังไม่สามารถที่จะออมเงินด้วยตัวเองแล้วเข้าสู่โครงการที่กระทรวงการคลังกำลังคิด เช่นว่า ต้องออมเดือนละกี่ร้อยบาทหรือหกเดือนจำนวนเท่าไหร่ก็แล้วแต่ แต่ผมได้บอกกับกระทรวงการคลังว่า ขณะนี้เรามีองค์กรที่ทำเป็นกองทุนสวัสดิการชุมชนอยู่แล้ว กำลังขอให้กระทรวงการคลังกลับไปทบทวนตัวกฎหมายที่เค้าจะเสนอว่า นอกเหนือจากการเปิดโอกาสให้บุคคลแต่ละคนมาเป็นสมาชิกแล้ว จะรับสมาชิกที่เป็นลักษณะกองทุนสวัสดิการได้หรือไม่ ซึ่งถ้าสามารถทำตรงนี้ได้ ผมก็ถือว่าโอกาสของพี่น้องประชาชนจะได้หลายต่อ คือในระบบของสวัสดิการชุมชนนั้นพี่น้องใส่ ๑ บาท รัฐบาลก็จะใส่ให้ ๑ บาทอยู่แล้ว พอเอากองทุนนี้ไปเข้าระบบออมของกระทรวงการคลังก็อาจจะได้เงินสมทบเพิ่มเติมขึ้นอีกด้วย เข้ามาสนับสนุนกองทุน เพราะฉะนั้นตรงนี้เป็นสิ่งที่ผมขอยืนยันว่าเราจะเดินหน้าด้วยกันต่อไปในการทำระบบนี้ให้เข้มแข็งขึ้นอย่างแท้จริง
ผมคิดว่าสิ่งที่เป็นข้อเสนอที่ครูชบได้สรุปเมื่อสักครู่ ผมถือว่าเป็นสิ่งที่รัฐบาลมีความตั้งใจที่จะดำเนินการอยู่แล้ว มีการเรียกร้องบอกว่าให้ประกาศเรื่องนี้เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ เหมือนกับอีกหลายๆเรื่อง ซึ่งก็อยากจะบอกว่าหัวใจสำคัญที่สุดก็คือ การเป็นระเบียบวาระแห่งชาติ หมายถึงการที่ทุกหน่วยงานนั้นจะต้องสนับสนุนแล้วก็ขับเคลื่อนไปในทิศทางเดียวกัน และที่สำคัญที่สุดก็คือว่าโครงการจะต้องมีลักษณะที่ยั่งยืนไม่ผันแปรไปตามสภาพทางการเมืองที่มีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลหรือผู้นำรัฐบาลหรืออะไรก็แล้วแต่ ผมยืนยันว่าถ้าให้ความหมายเช่นนี้ ผมยินดีที่จะผลักดันเรื่องนี้ให้เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ และจะให้ทุกหน่วยงานได้ขับเคลื่อนเรื่องนี้ จะเร่งเดินหน้าจัดวางพื้นฐานของระบบทุกอย่าง เพื่อให้สิ่งนี้อยู่คู่กับประเทศไทยไม่ว่าจะเกิดความเปลี่ยนแปลงใดๆ ต่อไปในทางการเมือง (ท่านรัฐมนตรีขอยืนยันอีกครั้งว่าจะได้เงินแน่นอน)

เพราะฉะนั้นพี่น้องที่เคารพครับวันนี้ ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ผมถือว่าพี่น้องทุกคนที่ได้ร่วมทำสวัสดิการชุมชนขึ้นมา เป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ วันนี้ผมมาร่วมกับกระบวนการการสร้างประวัติศาสตร์ให้กับพี่น้องประชาชนคนไทย ไม่ใช่เฉพาะที่อยู่ในห้องนี้ ไม่ใช่เฉพาะแม้แต่คนที่มีชีวิตอยู่ในขณะนี้ แต่ถ้าเราทำระบบนี้สำเร็จนั้นหมายถึงอนาคตของลูกหลานของเราและคนรุ่นต่อๆไปตั้งแต่เกิดจนตาย จะมีหลักประกันที่ดีขึ้นซึ่งเป็นความใฝ่ฝันความปรารถนาที่ผมอยากจะเห็นเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรา ผมขอขอบคุณทุกๆ ท่านอีกครั้งหนึ่งที่ได้มีส่วนร่วมและเป็นพลังสำคัญในการสร้างสวัสดิการชุมชนให้เกิดขึ้นมาได้จนถึงทุกวันนี้และจะได้มีส่วนร่วมกับรัฐบาลต่อไปในการขยายผลสู่ทุกชุมชนทุกท้องถิ่นแล้วก็เป็นกองทุนที่มีความเข้มแข็งมีความมั่นคงมีความยั่งยืนต่อไป ผม ครูชบ และคณะก็จะได้ไปลงพื้นที่ในการที่จะได้ดูการทำงานของสวัสดิการชุมชนในพื้นที่จังหวัดสงขลาต่อไป

สุดท้าย ขออวยพรให้สมาชิกเครือข่ายสวัสดิการชุมชนทั่วประเทศได้ดำเนินการจัดระบบสวัสดิการชุมชนให้สำเร็จลุล่วงไปด้วยดีตามเจตนารมณ์ทุกประการและขอให้ท่านและครอบครัวประสบแต่ความสุขความเจริญโดยทั่วกัน ขอขอบคุณอีกครั้งหนึ่งครับ